วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมาของชาเขียว


ประวัติความเป็นมาของชาเขียว

              ‘’ ชา ‘’ หรือ ‘’ ชาเขียว ‘’ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน กว่า 4,000 ปีมีแล้ว กล่าวคือเมื่อ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาได้ถูกค้นพบโดยจักรพรรดินามว่า ‘’ เสินหนง ‘’ ซึ่งเป็นบัณฑิตและนักสมุนไพร ผู้รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่ ‘’ เสินหนง ‘’ กำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่นั้น ปรากฏว่าลมได้โบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี เมื่อเขาลองดื่มก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ทำให้ชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในช่วงศตวรรษต่างๆดังนี้
               ช่วงศตวรรษที่ 3   ชาเป็นยา เป็นเครื่องบำรุงกำลังที่ได้รับความนิยมมากในช่วงศตวรรษที่3ชาวบ้าน  ก็เริ่มหันมาปลูกชากันและพัฒนาขั้นตอนการผลิตมาเรื่อยๆ
                ช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5 ชาในประเทศจีนได้รับความนิยมมากขึ้นและได้ผลิตชาในรูปของการอัดเป็นแผ่นคือ การนำใบชามานึ่งก่อน แล้วก็นำมา กระแทก ในสมัยนี้ได้นำน้ำชาถึงมาถวายเป็นของขวัญแด่พระจักรพรรดิ
               สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 906) ถือเป็นยุคทองของชา ชาไม่ได้ดื่ม เพื่อเป็นยาบำรุงกำลังอย่างเดียว แต่มีการดื่มเป็นประจำทุกวัน เป็นเครื่องมือเพื่อสุขภาพ
                   สมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ. 960 – 1279) ชาได้เติมเครื่องเทศแบบใน สมัยราชวงศ์ถังแต่จะเพิ่มรสบางๆ เช่น น้ำมันจากดอกมะลิ ดอกบัว และดอกเบญจมาศ
                    สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644)  ชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว สมัยนั้นกระบวนการผลิตชาได้พัฒนาขึ้นไปอีก ไม่อัดเป็นแผ่น แต่มี การรวบรวมใบชา นำมานึ่ง และอบแห้ง ซึ่งจะเก็บได้ไม่ดีนัก สูญเสียกลิ่นได้ ง่าย และรสชาติไม่ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการค้าขายกับชาวยุโรป การผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพชาให้นานขึ้น โดยได้คิดค้นกระบวนการที่ เราเรียกว่า การหมัก เมื่อหมักแล้วก็จะนำไปอบ ซึ่งก็เป็นที่มาของชาอูหลง และชาดำ ในประเทศจีน มีการแต่งกลิ่นด้วย โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้อีกด้วยและด้วยรสชาติและสรรพคุณของชาและชาเขียวที่ใช้เป็นยาได้ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงนิยมและความนิยมนี้ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศจีนและประเทศอื่นๆในโลกในเวลาต่อมา

             สำหรับประวัติของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นนั้น แรกเริ่มชาเขียวได้ถูกนำมาจากประเทศจีนและได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและมีการปลูกชาเขียวกันอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆในโลกรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย  แม้ว่าชาเขียวจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่ครั้งหนึ่งในอดีตชาเขียวถูกจัดว่าเป็นสินค้าที่มีค่ามาก ดังนั้นผู้ที่สามารถบริโภคชาเขียวจะมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นในสังคม เช่น พระสงฆ์และขุนนางเท่านั้นที่สามารถซื้อหาชาเขียวและได้รับความสุขในการบริโภค  ซึ่งเราต้องขอบคุณในความพยายามของท่าน Eisai “ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธนิกายเซน Zen “ ที่ได้นำชาเขียวไปสู่สาธารณะและนักรบซามูไร และทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้จักชาเขียวเสมือนหนึ่งเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นของการลิ้มรสชาติ
                 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 9 นักเขียนชาวจีนนามว่า “ Lu Yu ได้เขียนบทความเกี่ยวกับใบชา การเพาะปลูกชา ซึ่งงานเขียนและวิถีชีวิตของ Lu Yu ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนาพุทธโดยเฉพาะโรงเรียนสอนศาสนา ‘’ Zen – Cha ‘’ ซึ่งความคิดของเขามีอิทธิพลอย่างมากในการพัฒนาพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
               ดังนั้นการดื่มชาจึงเป็นวัฒนธรรมของประเทศจีนที่ถูกเผยแพร่เข้ามาในญี่ปุ่น โดยพระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในช่วง สมัยนาระจนถึงตอนต้น สมัยเฮอันเริ่มมีการดื่มชากันในหมู่พระสงฆ์และชนชั้นสูงในราชสำนักต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พระสงฆ์นามว่า Eisai “ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธนิกายเซน Zen “  ได้นำ ชาผงมัชชะ
จากประเทศจีนเข้ามาเผยแพร่ในฐานะยารักษาโรค
               ประมาณปลายศตวรรษที่ 12 รูปแบบของชาที่ถูกเตรียมขึ้นเรียกว่า ‘’ tencha "(
点茶) โดยการวางชาผงไว้ในชามจากนั้นจึงเทน้ำร้อนเทลงในชามและใช้ไม่ไผ่สำหรับชงชา ตีผสมชาผงกับน้ำร้อนให้เข้ากัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกนำติดตัวมาโดย Eisai และพระญี่ปุ่นรูปอื่นๆที่กลับมาจากประเทศจีน  และยังได้นำเมล็ดชากลับมายังประเทศญี่ปุ่นซึ่งต่อมาประเทศญี่ปุ่นก็ได้พัฒนารูปแบบการผลิตชาจนกลายเป็นแหล่งผลิตชาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมอีกที่หนึ่งของโลก
               โดยศตวรรษที่ 13 ชาเขียวผงนี้ถูกใช้ครั้งแรกในพิธีกรรมทางศาสนาในวัดพุทธนิกายเซน  และนักรบซามูไร เริ่มมีการจัดเตรียมและดื่มมัชชะ ที่พวกเขานำมาจากพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนานิกายเซนและกลายเป็นรากฐานของพิธีชงชาถูกวางไว้นับแต่นั้นมา จากนั้นพิธีชามีการพัฒนาและถูกปฏิบัติสืบเนื่องมาและเริ่มวิวัฒนาการเป็นความงดงามทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น  ด้วยรูปแบบที่ทำให้รู้สึกสงบหรือเงียบขรึมแต่แฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งที่มาพร้อมกับรสชาติละมุนของชา " คือลักษณะความอ่อนน้อมถ่อมตนยับยั้งชั่งใจ  เรียบง่ายเหมือนจริง ความลึกซึ้ง อ่อนโยน และความสมดุลเรียบง่ายของสิ่งรอบตัว พื้นที่ปราศจากเครื่องตกแต่งทางสถาปัตยกรรมเป็น ความงามที่ลึกซึ้ง ‘’
               ในศตวรรษที่ 14 พระในวัดเซนได้กำหนดแบบแผนการดื่มชาขึ้นมา แบบแผนงานดื่มชาในวัดเซนแพร่หลายออกไปในหมู่นักรบและขุนนาง จนกลายมาเป็นต้นแบบของพิธีชงชา ในสมัย มุโระมะชิ นักรบและขุนนางตลอดจนพ่อค้าชาวเมืองที่ร่ำรวยนิยมจัดงานดื่มชาในงานเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งมักนำศิลปวัตถุหรูหราโอ่อ่าของจีนมาประดับประดากัน
                ในศตวรรษที่ 15 – 16 ท่าน Takeno Joo's ” และท่าน Sen no Rikyu ” ได้พัฒนาแบบแผนพิธีชงชาแบบ วะบิชะ    ขึ้นมาเน้นความงามแบบเรียบง่ายและการสร้างความผูกพันทางใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้าภาพกับแขก พิธีชงชาแบบวะบิชะนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในฐานะศิลปะแห่งการดื่มชาญี่ปุ่นซึ่งแฝงปรัชญาแห่งชีวิตและฉายให้เห็นความงามในจิตใจ ทำให้การดื่มชามิได้เป็นเพียงการดื่มชา
           
    จากนั้นเป็นต้นมาการดื่มชาได้แพร่กระจายไปทุกระดับของสังคมในประเทศญี่ปุ่น  และต่อมาชาเขียวก็ยังคงหยั่งรากลึกในสังคมญี่ปุ่นสืบมา แม้กระทั้งในปัจจุบันก็เป็นอีกครั้งที่ชาเขียวได้ดึงดูดความสนใจอย่างมาก ในฐานะของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ส่งเสริมร่างกายและมีประโยชน์มากมาย สุดท้ายนี้ เราหวังว่าคุณจะมีความสุขกับการดื่มชาเขียว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น