วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การดื่มชาเขียว


การดื่มชาเขียว


 

           การบริโภคชาเขียวที่ถูกต้อง คือ การบริโภคชาเขียวในรูปแบบการขงชาดื่มเอง เพราะนอกจากจะได้รับรสชาติและกลิ่นหอมแท้จากชาเขียวแล้วยังได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าการแบบเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ซึ่งจะมีส่วนผสมของน้ำตาลและปริมาณของชาเขียวที่เจือจาง โดยชาเขียวร้อน 1 ถ้วย จะมี EGCG ประมาณ 100-200 มิลลิกรัม ในขณะที่เครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จจะมีปริมาณของใบชาที่น้อยมากอยู่แล้ว จึงทำให้มีสารสำคัญน้อยลงตามไปด้วย ถ้าจะดื่มเพื่อให้ประโยชน์จากสาร EGCG ก็อาจจะต้องดื่มหลายขวดต่อวัน ซึ่งแทนที่เราจะได้รับประโยชน์ก็อาจจะทำให้เสียสุขภาพเนื่องจากร่างกายได้รับน้ำตาลที่สูงเกินไปแทน ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มชาเขียวสำเร็จรูปบ่อยจนเกินไป แต่ให้ดื่มเพื่อดับกระหายเพียง 1-2 ครั้งต่อวัน และไม่ควรดื่มติดต่อกันทุกวันก็พอ

            โดยหลักการแล้วเราจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจากชาเขียวมากที่สุด คือ การดื่มชาเขียวร้อน ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งจากงานวิจัยได้ระบุว่า การต้มชาเขียวในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 70-78 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2-4 นาที จะตรวจพบสารต้านอนุมูลอิสระที่ยังคงอยู่ในปริมาณสูงที่สุด

            ในแต่ละวันไม่ควรดื่มชาเขียวเกิน 10-12 ถ้วย เพราะชาเขียวมีคาเฟอีน การดื่มในปริมาณมากจะส่งผลให้นอนไม่หลับได้ (ส่วนชาเขียวแบบปราศจากคาเฟอีนก็มีวางจำหน่ายอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก) ส่วนการดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจากการชงใบชา คือ ประมาณ 1-2 ช้อนชาในน้ำร้อน วันละ 3 ถ้วย โดยให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียนั้นได้ระบุเรื่องคุณสมบัติของการป้องกันมะเร็งของชาเขียวไว้ โดยพบว่าคนเราสามารถได้รับปริมาณโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในปริมาณที่ต้องการได้โดยการดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน ส่วนหนังสือวิตามินไบเบิลได้ระบุว่า เพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพากการดื่มชาเขียวอย่างครบถ้วน คุณจะต้องดื่มชาเขียวประมาณวันละ 5-10 ถ้วย (ชาเขียวสกัดหนึ่งเม็ดจะมีค่าเท่ากับชาเขียวหนึ่งถ้วยครึ่ง) แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับระบุว่า หากต้องการให้ได้ประโยชย์อย่างสูงสุดในแต่ละวัน จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10 ถ้วยเลยทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ที่กล่าวว่า การรับประทานชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่นและต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นอาจทำได้ยาก และยิ่งเป็นชาเขียวสำเร็จรูปที่เป็นชาเขียวแบบเจือจาง (แต่โฆษณาแบบเต็มๆ) ทั้งยังปรุงรสแต่งกลิ่นและรสด้วยน้ำตาล การดื่มมากๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ แต่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเขียวแบบชงเพียง 3-5 ถ้วยต่อวัน ก็ดูจะปลอดภัยและเป็นประโยชน์กับร่างกายที่สุด

            องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่าควรดื่มชาในระหว่างอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลังจากดื่มชาไปแล้วประมาณ 30-50 นาที antioxidant activity ในเลือดจะพุ่งพรวดขึ้นไปที่ประมาณ 41-48% และจะคงอยู่เช่นนั้นนานประมาณ 80 นาที ซึ่งการที่เลือดมี antioxidant activity สูงขึ้นย่อมทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายถูกขจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง

            ไม่ควรดื่มน้ำชาร่วมไปกับการรับประทานอาหาร เพราะแร่ธาตุจากผักใบเขียวหรือจากผลไม้จะถูกสารสำคัญจากชาดักจับไว้หมด ไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

             สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญในใบชาเขียวจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

             การดื่มชาร้อนๆ จะทำให้สารสำคัญที่มีประโยชน์ คือ คาเทชินจะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด จนเหลือแต่รสชาติและความหอม แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการดื่มชาแบบร้อนๆ ก็ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เพราะความเข้มข้นของใบชาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณของสารคาเทชินเพิ่มขึ้นไปด้วย แม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อถูกความร้อนก็ตาม แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลือพอที่จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง ส่วนข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้ระบุว่า การดื่มชาร้อนนั้นมีผลการวิจัยที่ระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระในชาจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนานๆ และให้เคล็ดลับการชงชาเขียวเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระยังคงอยู่ ด้วยการบีบน้ำมะนาวลงไปในระหว่างการชงชา

             ชาเขียวหากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในชาเขียวได้ (แบบชงเอง) แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ขบวนการผลิตก็ต้องผ่านการต้มหรือทำให้ร้อน และต้องผ่านขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนนำมาบรรจุลงในขวด จึงทำให้ปริมาณของสารสำคัญถูกทำลายไปด้วย

             การดื่มน้ำชา ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมสด นมข้น หรือนมผง เพราะโปรตีนจากนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และไปทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิธีการดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดก็คือการดื่มแต่น้ำชาล้วนๆ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติม

             ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกในการทานชาเขียว จึงมีผลิตภัณฑ์ชาเขียวสกัดให้เลือกสรรกันมากมาย สำหรับเทคนิคในการเลือกซื้อ ควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของชาเขียวที่สูงเพียงพอต่อการดูแลสุขภาพ เพราะชาเขียวบางยี่ห้อจะมีสารสำคัญอยู่น้อยมาก แต่กลับอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ที่สำคัญควรผลิตจากโรงงานที่รับมาตรฐาน เชื่อถือได้ ซึ่งในขนาดที่แนะนำให้รับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพของสารสกัดจากชาเขียวคือวันละประมาณ 750-1,500 มิลลิกรัม ส่วนในด้านความปลอดภัยนั้น สารสกัดจากชาเขียว ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้ว (GRAS)

คำแนะนำเรื่องการดื่มชา
                    1. น้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ คาเทคชินส์จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ  ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้นเช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋วที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้น ในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรสโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
                    2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน
                    3. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ ชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาเลย
                    4. ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่ธาตุต่างๆ จากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน
  
ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
          สำหรับผู้ที่ไม่ควรบริโภคชาเขียวหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคไต เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติหรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด สตรีมีครรภ์ กระเพาะอาหารอักเสบ รวมไปถึงผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท

             จากงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุว่า อุณหภูมิและเวลามีผลต่อการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียว ซึ่งบางบทความที่เผยแพร่ในบ้านเรา ได้ระบุว่า เป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับคนไทยนิยมที่ดื่มชาเขียวแช่เย็นที่มีขายตามท้องตลอด ซึ่งในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำอย่างญี่ปุ่นเขาจะไม่ทำกัน เพราะชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันก็เป็นโทษต่อร่างกายหากดื่มชาเขียวแช่เย็น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจากร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดตีบ มะเร็งลำไส้ ฯลฯ เป็นต้นแม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเป็นโทษต่อร่างกายมากมายขนาดนั้นก็ตาม แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็น (แบบชงเอง) ไม่น่าจะมีความแตกต่างกัน

             การบริโภคชาเขียวในปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลเสียต่อตับได้ เพราะมีรายงานการวิจัยในหนูเม้าส์ พบว่าสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ส่งผลให้ตับถูกทำลายเล็กน้อยเมื่อบริโภคในขนาดสูง (2,500 มก./กก.) ติดต่อกัน 5 วัน และความเป็นพิษต่อตับจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริโภคชาเขียวในขณะเป็นไข้ (แต่การบริโภคชาเขียวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นยังถือว่ามีความปลอดภัยครับ) สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับหรือมีอาการไข้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวในขนาดสูงและติดต่อกันเป็นเวลานาน

             ผลเสียของการดื่มชาเขียว คือ จะมีอาการนอนไม่หลับ (เนื่องมาจากคาเฟอีน) แต่อย่างไรก็ตาม ชาเขียวก็ยังมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟ กล่าวคือ ชาเขียวประมาณ 6-8 ออนซ์จะมีคาเฟอีนประมาณ 30-60 มิลลิกรัม แต่ในขณะที่กาแฟ 8 ออนซ์จะมีปริมาณของคาเฟอีนมากกว่า 100 มิลลิกรัม

             ในชาเขียวมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นสารที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย จึงมีความเป็นไปได้ว่าการดื่มชาเขียวในปริมาณมากเกินไป จะสามารถทำให้ท้องผูกได้

             ใบชามีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง (สูงกว่าในน้ำประปา) การที่ร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปทุกวันจากการดื่มชา จะเกิดการสะสมและมีผลให้ไตวาย เกิดโรคมะเร็งลำไส้ เป็นโรคข้อ โรคกระดูกพรุน และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก สำหรับในผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องเป็นกังวล

             ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารออกซาเรต (Oxalate) ซึ่งเป็นสารที่มีผลทำลายไต แม้ว่าในใบชาจะมีสารชนิดนี้อยู่ไม่มากก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่ดื่มชาในปริมาณมากและดื่มเป็นประจำ สารออกซาเลตก็จะสะสมในร่างกายได้
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น