วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การดื่มชาเขียว


การดื่มชาเขียว


 

           การบริโภคชาเขียวที่ถูกต้อง คือ การบริโภคชาเขียวในรูปแบบการขงชาดื่มเอง เพราะนอกจากจะได้รับรสชาติและกลิ่นหอมแท้จากชาเขียวแล้วยังได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าการแบบเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ซึ่งจะมีส่วนผสมของน้ำตาลและปริมาณของชาเขียวที่เจือจาง โดยชาเขียวร้อน 1 ถ้วย จะมี EGCG ประมาณ 100-200 มิลลิกรัม ในขณะที่เครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จจะมีปริมาณของใบชาที่น้อยมากอยู่แล้ว จึงทำให้มีสารสำคัญน้อยลงตามไปด้วย ถ้าจะดื่มเพื่อให้ประโยชน์จากสาร EGCG ก็อาจจะต้องดื่มหลายขวดต่อวัน ซึ่งแทนที่เราจะได้รับประโยชน์ก็อาจจะทำให้เสียสุขภาพเนื่องจากร่างกายได้รับน้ำตาลที่สูงเกินไปแทน ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มชาเขียวสำเร็จรูปบ่อยจนเกินไป แต่ให้ดื่มเพื่อดับกระหายเพียง 1-2 ครั้งต่อวัน และไม่ควรดื่มติดต่อกันทุกวันก็พอ

            โดยหลักการแล้วเราจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจากชาเขียวมากที่สุด คือ การดื่มชาเขียวร้อน ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งจากงานวิจัยได้ระบุว่า การต้มชาเขียวในน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 70-78 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2-4 นาที จะตรวจพบสารต้านอนุมูลอิสระที่ยังคงอยู่ในปริมาณสูงที่สุด

            ในแต่ละวันไม่ควรดื่มชาเขียวเกิน 10-12 ถ้วย เพราะชาเขียวมีคาเฟอีน การดื่มในปริมาณมากจะส่งผลให้นอนไม่หลับได้ (ส่วนชาเขียวแบบปราศจากคาเฟอีนก็มีวางจำหน่ายอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างหาซื้อได้ยาก) ส่วนการดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจากการชงใบชา คือ ประมาณ 1-2 ช้อนชาในน้ำร้อน วันละ 3 ถ้วย โดยให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียนั้นได้ระบุเรื่องคุณสมบัติของการป้องกันมะเร็งของชาเขียวไว้ โดยพบว่าคนเราสามารถได้รับปริมาณโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในปริมาณที่ต้องการได้โดยการดื่มชาเขียวเพียง 2 ถ้วยต่อวัน ส่วนหนังสือวิตามินไบเบิลได้ระบุว่า เพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพากการดื่มชาเขียวอย่างครบถ้วน คุณจะต้องดื่มชาเขียวประมาณวันละ 5-10 ถ้วย (ชาเขียวสกัดหนึ่งเม็ดจะมีค่าเท่ากับชาเขียวหนึ่งถ้วยครึ่ง) แต่บริษัทผู้ค้าชาเขียวชนิดแคปซูลกลับระบุว่า หากต้องการให้ได้ประโยชย์อย่างสูงสุดในแต่ละวัน จะต้องดื่มชาเขียวถึงวันละ 10 ถ้วยเลยทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ที่กล่าวว่า การรับประทานชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสสระ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่นและต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นอาจทำได้ยาก และยิ่งเป็นชาเขียวสำเร็จรูปที่เป็นชาเขียวแบบเจือจาง (แต่โฆษณาแบบเต็มๆ) ทั้งยังปรุงรสแต่งกลิ่นและรสด้วยน้ำตาล การดื่มมากๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ แต่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มชาเขียวแบบชงเพียง 3-5 ถ้วยต่อวัน ก็ดูจะปลอดภัยและเป็นประโยชน์กับร่างกายที่สุด

            องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่าควรดื่มชาในระหว่างอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลังจากดื่มชาไปแล้วประมาณ 30-50 นาที antioxidant activity ในเลือดจะพุ่งพรวดขึ้นไปที่ประมาณ 41-48% และจะคงอยู่เช่นนั้นนานประมาณ 80 นาที ซึ่งการที่เลือดมี antioxidant activity สูงขึ้นย่อมทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายถูกขจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็หมายถึงการมีสุขภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง

            ไม่ควรดื่มน้ำชาร่วมไปกับการรับประทานอาหาร เพราะแร่ธาตุจากผักใบเขียวหรือจากผลไม้จะถูกสารสำคัญจากชาดักจับไว้หมด ไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

             สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญในใบชาเขียวจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

             การดื่มชาร้อนๆ จะทำให้สารสำคัญที่มีประโยชน์ คือ คาเทชินจะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด จนเหลือแต่รสชาติและความหอม แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการดื่มชาแบบร้อนๆ ก็ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เพราะความเข้มข้นของใบชาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณของสารคาเทชินเพิ่มขึ้นไปด้วย แม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อถูกความร้อนก็ตาม แต่ก็ยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลือพอที่จะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง ส่วนข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้ระบุว่า การดื่มชาร้อนนั้นมีผลการวิจัยที่ระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระในชาจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนานๆ และให้เคล็ดลับการชงชาเขียวเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระยังคงอยู่ ด้วยการบีบน้ำมะนาวลงไปในระหว่างการชงชา

             ชาเขียวหากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในชาเขียวได้ (แบบชงเอง) แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูป ขบวนการผลิตก็ต้องผ่านการต้มหรือทำให้ร้อน และต้องผ่านขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนนำมาบรรจุลงในขวด จึงทำให้ปริมาณของสารสำคัญถูกทำลายไปด้วย

             การดื่มน้ำชา ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมสด นมข้น หรือนมผง เพราะโปรตีนจากนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และไปทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิธีการดื่มชาเขียวที่ดีที่สุดก็คือการดื่มแต่น้ำชาล้วนๆ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติม

             ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกในการทานชาเขียว จึงมีผลิตภัณฑ์ชาเขียวสกัดให้เลือกสรรกันมากมาย สำหรับเทคนิคในการเลือกซื้อ ควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของชาเขียวที่สูงเพียงพอต่อการดูแลสุขภาพ เพราะชาเขียวบางยี่ห้อจะมีสารสำคัญอยู่น้อยมาก แต่กลับอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ที่สำคัญควรผลิตจากโรงงานที่รับมาตรฐาน เชื่อถือได้ ซึ่งในขนาดที่แนะนำให้รับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพของสารสกัดจากชาเขียวคือวันละประมาณ 750-1,500 มิลลิกรัม ส่วนในด้านความปลอดภัยนั้น สารสกัดจากชาเขียว ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้ว (GRAS)

คำแนะนำเรื่องการดื่มชา
                    1. น้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ คาเทคชินส์จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ  ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้นเช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋วที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้น ในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรสโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
                    2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน
                    3. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ ชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาเลย
                    4. ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่ธาตุต่างๆ จากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน
  
ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
          สำหรับผู้ที่ไม่ควรบริโภคชาเขียวหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนการบริโภค ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคไต เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติหรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด สตรีมีครรภ์ กระเพาะอาหารอักเสบ รวมไปถึงผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท

             จากงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุว่า อุณหภูมิและเวลามีผลต่อการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียว ซึ่งบางบทความที่เผยแพร่ในบ้านเรา ได้ระบุว่า เป็นเรื่องน่าห่วงสำหรับคนไทยนิยมที่ดื่มชาเขียวแช่เย็นที่มีขายตามท้องตลอด ซึ่งในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำอย่างญี่ปุ่นเขาจะไม่ทำกัน เพราะชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันก็เป็นโทษต่อร่างกายหากดื่มชาเขียวแช่เย็น เพราะนอกจากจะไม่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจากร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดตีบ มะเร็งลำไส้ ฯลฯ เป็นต้นแม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยรองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเป็นโทษต่อร่างกายมากมายขนาดนั้นก็ตาม แต่บางข้อมูลกลับระบุว่าการดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็น (แบบชงเอง) ไม่น่าจะมีความแตกต่างกัน

             การบริโภคชาเขียวในปริมาณสูงและติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลเสียต่อตับได้ เพราะมีรายงานการวิจัยในหนูเม้าส์ พบว่าสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ส่งผลให้ตับถูกทำลายเล็กน้อยเมื่อบริโภคในขนาดสูง (2,500 มก./กก.) ติดต่อกัน 5 วัน และความเป็นพิษต่อตับจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริโภคชาเขียวในขณะเป็นไข้ (แต่การบริโภคชาเขียวในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นยังถือว่ามีความปลอดภัยครับ) สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับหรือมีอาการไข้ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวในขนาดสูงและติดต่อกันเป็นเวลานาน

             ผลเสียของการดื่มชาเขียว คือ จะมีอาการนอนไม่หลับ (เนื่องมาจากคาเฟอีน) แต่อย่างไรก็ตาม ชาเขียวก็ยังมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่ากาแฟ กล่าวคือ ชาเขียวประมาณ 6-8 ออนซ์จะมีคาเฟอีนประมาณ 30-60 มิลลิกรัม แต่ในขณะที่กาแฟ 8 ออนซ์จะมีปริมาณของคาเฟอีนมากกว่า 100 มิลลิกรัม

             ในชาเขียวมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นสารที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย จึงมีความเป็นไปได้ว่าการดื่มชาเขียวในปริมาณมากเกินไป จะสามารถทำให้ท้องผูกได้

             ใบชามีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง (สูงกว่าในน้ำประปา) การที่ร่างกายได้รับสารนี้เข้าไปทุกวันจากการดื่มชา จะเกิดการสะสมและมีผลให้ไตวาย เกิดโรคมะเร็งลำไส้ เป็นโรคข้อ โรคกระดูกพรุน และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก สำหรับในผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องเป็นกังวล

             ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารออกซาเรต (Oxalate) ซึ่งเป็นสารที่มีผลทำลายไต แม้ว่าในใบชาจะมีสารชนิดนี้อยู่ไม่มากก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่ดื่มชาในปริมาณมากและดื่มเป็นประจำ สารออกซาเลตก็จะสะสมในร่างกายได้
 

มหัศจรรย์ชาเขียว


มหัศจรรย์ของชาเขียว

 สารสำคัญที่มีอยู่ในใบชาเขียว

                  สารสำคัญที่พบได้ในชาเขียว จะประกอบไปด้วย กรดอะมิโน วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี สารในกลุ่ม xanthine alkaloids คือ คาเฟอีน (caffeine) และธิโอฟิลลีน (theophylline) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่เรียกว่า คาเทชิน (catechins) โดยเราสามารถแยกสารคาเทชินออกได้เป็น 5 ชนิด คือ gallocatechin (GC), epicatechin (EC), epigallocatechin (EGC), epicatechin gallate (ECG), และ epigallocatechin gallate (EGCG) โดยคาเทชินที่พบได้มากและมีฤทธิ์ทรงพลังที่สุดในชาเขียว คือ สารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต (epigallocatechin gallate – EGCG) ซึ่งมีความสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (“ชาขียว”, ม.ป.ป)

                 คาเฟอีน (caffein)  จะมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก คุณสมบัติของคาเฟอีนมีฤทธ์กระตุ้นประสาทเมื่อดื่มชาเขียวจึงทำให้รู้สึกสมองสดชื่น แจ่มใส หายง่วง ช่วยการเผ่าผลาน เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต  ดังนั้น ผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรดื่มชา เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ(ใบหม่อน , 2556 , น. 56)

                แทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin) สารชนิดนี้จะพในใบชาแห้งประมานร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก  เป็นสารที่มีรสฝาดใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้  หากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามากทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าต้องการดื่มชาเขียวเพื่อให้บรรเทาอาการปวดท้องเสียก็ควรต้มใบชานานๆเพื่อให้มีปริมาณแททนนินออกมามาก(ใบหม่อน , 2556 , น. 56)

                นอกจากนี้แทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย  และสารแคทิชิน (catechin) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึงในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็งด้วย(ใบหม่อน , 2556 , น. 56-57)

 สรรพคุณของชาเขียว
          มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่จะดีต่อสุขภาพเท่าชาเขียวบ้าง ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า มีการใช้ชาเขียวเป็นยาในประเทศจีนเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว

                ปัจจุบัน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกพบว่า การดื่มชาเขียวมีผลอย่างชัดเจนต่อสุขภาพ เช่น ในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงว่า การดื่ม ชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ในหมู่ชาวจีนทั้งหญิงชาย ได้ถึง เกือบ 60% เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปูร์ดู สรุปว่า สารประกอบในชาเขียว ช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีการวิจัยที่แสดงว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลโดยรวมได้ และยังช่วยปรับอัตรา HDL ให้เป็น LDL

                ความลับของชาเขียวอยู่ที่ปริมาณสาร Catechin Polyphenol โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) ที่มีอยู่มากในตัวชา EGCG เป็นสารต้านพิษ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งด้วยการฆ่าเซลมะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อส่วนดี นอกจากนั้นยังช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก มักมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา เข้ากับประโยชน์ทีได้จากการดื่มไวน์ นักวิจัยสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมชาวฝรั่งเศสจึงมีอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาวอเมริกัน ทั้งที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง คำตอบก็คือ เป็นเพราะไวน์แดง ซึ่งมีสาร Resveratrol ที่เป็น Polyphenol ที่ลดอันตรายจากการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

                ในการวิจัยเมื่อปี 1997 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สรุปว่า EGCG นั้นแรงเท่า ๆ กับ Resveratrol ถึงเกือบ 2 เท่า ซึ่งเป็นการอธิบายว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงมีอัตราการเสี่ยงโรคหัวใจค่อนข้างต่ำ แม้ว่ากว่า 75% จะสูบบุหรี่ก็ตาม
                ทำไมชาวจีนอื่น ๆ จึงไม่ดีเท่าชาเขียว ชาเขียว ชาอูลอง และชาดำต่างก็มา จากใบของต้น Camellia Sinensis การที่ชาเขียวมีประโยชน์มากกว่า ก็เนื่องมาจากกระบวนการแปรรูป โดยใบชาเขียวจะถูกนำมาอบไอน้ำ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้สารประกอบ EGCG เข้ารวมตัวกับออกซิเจน ในทางตรงข้าม ใบชาอูลองและชาดำกลับเกิดจากการนำใบชาไปหมัก ซึ่งทำให้ EGCG ถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบชนิดอื่น ซึ่งแทบไม่มีประสิทธิภาพ ในการป้องกันหรือต่อสู้โรคใด ๆ เลย
                สาร EGCG นี้ในทางเคมีจัดเป็นสารโพลี่ฟีนอลชนิดหนึ่งที่มีการวิจัยกันอย่างกว้างขวางและหลายการวิจัยก็พบว่า   สาร EGCG ดังกล่าวนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่
                1. มีส่วนช่วยในขบวนการ การกำจัดไขมันโคเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง จากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
                2. ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
                3. ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์
และนอกจากสรรพคุณดังกล่าวจากสาร EGCG ที่มีอยู่ในชาเขียวแล้ว ชาเขียวยังให้สารอื่นๆ อีกมากมายเช่น สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกายของเรา และจะทำงานร่วมกับสาร EGCG ในการช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น และลดความเสี่ยงจากอันตรายของสารพิษและอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นชาเขียวยังมีวิตามิน (Vitamins) เกลือแร่ (Minerals) และสารอาหารจากพืชที่มีความสำคัญต่อร่างกายอีกมากมาย  (ความมหัศจรรย์ของชาเขียว, ม.ป.ป.)  เช่น

        1.ชาเขียวถูกนำมาใช้ในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึ่มเศร้า ซึ่งในประเทศจีนมีการใช้ชาเขียวเป็นยามามากกว่า 4,000 ปี
         2.ช่วยทำให้เจริญอาหาร
         3.แก้เมาเหล้า ทำให้สร่างเมา
        4.ช่วยแก้หวัด แก้ร้อนใน ช่วยขับเหงื่อ ขับสารพิษตกค้าง
        5.ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ สงบประสาท ระบายความร้อนจากศีรษะและเบ้าตา ทำให้สดชื่น ตาสว่าง ไม่ง่วงนอน และช่วยทำให้หายใจสดชื่น
              6.ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ระบายความร้อนออกจากปอด และช่วยขับเสมหะ
                7.ช่วยแก้บิด ท้องร่วง ท้องเสีย
                8.ช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ จึงสามารถช่วยล้างสารพิษและกำจัดพิษในลำไส้ได้
                9.ช่วยป้องกันตับจากพิษและโรคอื่นๆ
               10.ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเล่น
        11.ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ต้านเชื้อ Botulinus และเชื้อ Staphylococcu
        12.ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต
        13.ช่วยในการห้ามเลือดหรือทำให้เลือดไหลช้าลง
        14.ใช้เป็นยาพอกรักษาแผลอักเสบ แผลพุพอง ไฟไหม้ ฝีหนอง ช่วยบรรเทาอาการผดผื่นคัน ผิวร้อนแห้ง แมลงสัตว์กัดต่อย และยังใช้เป็นยากันยุงได้อีกด้วย
        15.ชาเขียวสามารถช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาติก (Rheumatic arthritis) ซึ่งมีอาการอักเสบบวมแดง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ ที่มักเกิดกับสตรีวัยกลางคน
                 



นายมานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีน ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชาเขียวว่า การนำชาเขียวมาใช้ควบคู่กับพืชสมุนไพรชนิดอื่นๆ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้ คือ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับขึ้นฉ่าย จะช่วยลดความดันโลหิต

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดอาการบวมน้ำ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้ ตะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน จะช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้ดี

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับหัวต้นหอม จะช่วยแก้ไข้หวัดและช่วยขับเหงื่อ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ ตาลาย

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะช่วยบำรุงสมอง และเสริมสร้างความจำ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น แก้คอแห้ง และช่วยบำรุงหัวใจ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบหอ เสียงแหบ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด จะช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะช่วยลดอาการบวมน้ำ ตกขาว มดลูกอักเสบ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ

·         ใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็วของสุภาพบุรุษ

ประวัติความเป็นมาของชาเขียว


ประวัติความเป็นมาของชาเขียว

              ‘’ ชา ‘’ หรือ ‘’ ชาเขียว ‘’ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน กว่า 4,000 ปีมีแล้ว กล่าวคือเมื่อ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาได้ถูกค้นพบโดยจักรพรรดินามว่า ‘’ เสินหนง ‘’ ซึ่งเป็นบัณฑิตและนักสมุนไพร ผู้รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่ ‘’ เสินหนง ‘’ กำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่นั้น ปรากฏว่าลมได้โบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี เมื่อเขาลองดื่มก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ทำให้ชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆในช่วงศตวรรษต่างๆดังนี้
               ช่วงศตวรรษที่ 3   ชาเป็นยา เป็นเครื่องบำรุงกำลังที่ได้รับความนิยมมากในช่วงศตวรรษที่3ชาวบ้าน  ก็เริ่มหันมาปลูกชากันและพัฒนาขั้นตอนการผลิตมาเรื่อยๆ
                ช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5 ชาในประเทศจีนได้รับความนิยมมากขึ้นและได้ผลิตชาในรูปของการอัดเป็นแผ่นคือ การนำใบชามานึ่งก่อน แล้วก็นำมา กระแทก ในสมัยนี้ได้นำน้ำชาถึงมาถวายเป็นของขวัญแด่พระจักรพรรดิ
               สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 906) ถือเป็นยุคทองของชา ชาไม่ได้ดื่ม เพื่อเป็นยาบำรุงกำลังอย่างเดียว แต่มีการดื่มเป็นประจำทุกวัน เป็นเครื่องมือเพื่อสุขภาพ
                   สมัยราชวงศ์ซ้อง (ค.ศ. 960 – 1279) ชาได้เติมเครื่องเทศแบบใน สมัยราชวงศ์ถังแต่จะเพิ่มรสบางๆ เช่น น้ำมันจากดอกมะลิ ดอกบัว และดอกเบญจมาศ
                    สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644)  ชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว สมัยนั้นกระบวนการผลิตชาได้พัฒนาขึ้นไปอีก ไม่อัดเป็นแผ่น แต่มี การรวบรวมใบชา นำมานึ่ง และอบแห้ง ซึ่งจะเก็บได้ไม่ดีนัก สูญเสียกลิ่นได้ ง่าย และรสชาติไม่ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการค้าขายกับชาวยุโรป การผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพชาให้นานขึ้น โดยได้คิดค้นกระบวนการที่ เราเรียกว่า การหมัก เมื่อหมักแล้วก็จะนำไปอบ ซึ่งก็เป็นที่มาของชาอูหลง และชาดำ ในประเทศจีน มีการแต่งกลิ่นด้วย โดยเฉพาะกลิ่นดอกไม้อีกด้วยและด้วยรสชาติและสรรพคุณของชาและชาเขียวที่ใช้เป็นยาได้ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงนิยมและความนิยมนี้ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศจีนและประเทศอื่นๆในโลกในเวลาต่อมา

             สำหรับประวัติของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นนั้น แรกเริ่มชาเขียวได้ถูกนำมาจากประเทศจีนและได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและมีการปลูกชาเขียวกันอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆในโลกรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย  แม้ว่าชาเขียวจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่ครั้งหนึ่งในอดีตชาเขียวถูกจัดว่าเป็นสินค้าที่มีค่ามาก ดังนั้นผู้ที่สามารถบริโภคชาเขียวจะมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นในสังคม เช่น พระสงฆ์และขุนนางเท่านั้นที่สามารถซื้อหาชาเขียวและได้รับความสุขในการบริโภค  ซึ่งเราต้องขอบคุณในความพยายามของท่าน Eisai “ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธนิกายเซน Zen “ ที่ได้นำชาเขียวไปสู่สาธารณะและนักรบซามูไร และทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้จักชาเขียวเสมือนหนึ่งเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นของการลิ้มรสชาติ
                 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 9 นักเขียนชาวจีนนามว่า “ Lu Yu ได้เขียนบทความเกี่ยวกับใบชา การเพาะปลูกชา ซึ่งงานเขียนและวิถีชีวิตของ Lu Yu ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากศาสนาพุทธโดยเฉพาะโรงเรียนสอนศาสนา ‘’ Zen – Cha ‘’ ซึ่งความคิดของเขามีอิทธิพลอย่างมากในการพัฒนาพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
               ดังนั้นการดื่มชาจึงเป็นวัฒนธรรมของประเทศจีนที่ถูกเผยแพร่เข้ามาในญี่ปุ่น โดยพระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในช่วง สมัยนาระจนถึงตอนต้น สมัยเฮอันเริ่มมีการดื่มชากันในหมู่พระสงฆ์และชนชั้นสูงในราชสำนักต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พระสงฆ์นามว่า Eisai “ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธนิกายเซน Zen “  ได้นำ ชาผงมัชชะ
จากประเทศจีนเข้ามาเผยแพร่ในฐานะยารักษาโรค
               ประมาณปลายศตวรรษที่ 12 รูปแบบของชาที่ถูกเตรียมขึ้นเรียกว่า ‘’ tencha "(
点茶) โดยการวางชาผงไว้ในชามจากนั้นจึงเทน้ำร้อนเทลงในชามและใช้ไม่ไผ่สำหรับชงชา ตีผสมชาผงกับน้ำร้อนให้เข้ากัน ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกนำติดตัวมาโดย Eisai และพระญี่ปุ่นรูปอื่นๆที่กลับมาจากประเทศจีน  และยังได้นำเมล็ดชากลับมายังประเทศญี่ปุ่นซึ่งต่อมาประเทศญี่ปุ่นก็ได้พัฒนารูปแบบการผลิตชาจนกลายเป็นแหล่งผลิตชาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมอีกที่หนึ่งของโลก
               โดยศตวรรษที่ 13 ชาเขียวผงนี้ถูกใช้ครั้งแรกในพิธีกรรมทางศาสนาในวัดพุทธนิกายเซน  และนักรบซามูไร เริ่มมีการจัดเตรียมและดื่มมัชชะ ที่พวกเขานำมาจากพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนานิกายเซนและกลายเป็นรากฐานของพิธีชงชาถูกวางไว้นับแต่นั้นมา จากนั้นพิธีชามีการพัฒนาและถูกปฏิบัติสืบเนื่องมาและเริ่มวิวัฒนาการเป็นความงดงามทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น  ด้วยรูปแบบที่ทำให้รู้สึกสงบหรือเงียบขรึมแต่แฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งที่มาพร้อมกับรสชาติละมุนของชา " คือลักษณะความอ่อนน้อมถ่อมตนยับยั้งชั่งใจ  เรียบง่ายเหมือนจริง ความลึกซึ้ง อ่อนโยน และความสมดุลเรียบง่ายของสิ่งรอบตัว พื้นที่ปราศจากเครื่องตกแต่งทางสถาปัตยกรรมเป็น ความงามที่ลึกซึ้ง ‘’
               ในศตวรรษที่ 14 พระในวัดเซนได้กำหนดแบบแผนการดื่มชาขึ้นมา แบบแผนงานดื่มชาในวัดเซนแพร่หลายออกไปในหมู่นักรบและขุนนาง จนกลายมาเป็นต้นแบบของพิธีชงชา ในสมัย มุโระมะชิ นักรบและขุนนางตลอดจนพ่อค้าชาวเมืองที่ร่ำรวยนิยมจัดงานดื่มชาในงานเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งมักนำศิลปวัตถุหรูหราโอ่อ่าของจีนมาประดับประดากัน
                ในศตวรรษที่ 15 – 16 ท่าน Takeno Joo's ” และท่าน Sen no Rikyu ” ได้พัฒนาแบบแผนพิธีชงชาแบบ วะบิชะ    ขึ้นมาเน้นความงามแบบเรียบง่ายและการสร้างความผูกพันทางใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้าภาพกับแขก พิธีชงชาแบบวะบิชะนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในฐานะศิลปะแห่งการดื่มชาญี่ปุ่นซึ่งแฝงปรัชญาแห่งชีวิตและฉายให้เห็นความงามในจิตใจ ทำให้การดื่มชามิได้เป็นเพียงการดื่มชา
           
    จากนั้นเป็นต้นมาการดื่มชาได้แพร่กระจายไปทุกระดับของสังคมในประเทศญี่ปุ่น  และต่อมาชาเขียวก็ยังคงหยั่งรากลึกในสังคมญี่ปุ่นสืบมา แม้กระทั้งในปัจจุบันก็เป็นอีกครั้งที่ชาเขียวได้ดึงดูดความสนใจอย่างมาก ในฐานะของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ส่งเสริมร่างกายและมีประโยชน์มากมาย สุดท้ายนี้ เราหวังว่าคุณจะมีความสุขกับการดื่มชาเขียว


ประเภทชาเขียว

ประเภทของชาเขียว
              ชาเขียวมีอยู่ 2 ประเภท คือ

1.ชาเขียวแบบญี่ปุ่น
      ชาเขียวแบบญี่ปุ่นจะไม่มีการคั่วใบชาทำให้ได้กลิ่นเขียวสดค่อนข้างมาก มีกลิ่นของสาหร่าย และอาจมีกลิ่นคล้ายกับโชยุปนอยู่ด้วยมีสารอาหารพวกโปรตีน น้ำตาลเล็กน้อย และวิตามินอีสูง
2.ชาเขียวแบบจีน
      ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกระทะร้อน ทำให้กลิ่นของน้ำชานั้นจะให้กลิ่นเขียวสดชื่น มีกลิ่นคล้ายกลิ่นถั่วปน  ถ้าชงนานเกินไปจะทำให้วิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชาสูญเสียไปเกือบหมด ส่วนปริมานของแคลเซียม  เหล็กและวิตามินซีจะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง



ชาเขียว

ชาเขียว

               ชาเขียว
เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีการผลิตชาเขียวในรูปแบบของเครื่องดื่มสำเร็จรูปกันอย่างแพร่หลายทำให้สะดวกต่อการบริโภค และด้วยรสชาติความอร่อยของชาเขียว แก้กระหายทำให้รู้สึกสดชื่น รวมไปถึงเทคนิคการโฆษณาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชาเขียว หรือข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสรรพคุณของชาเขียวที่มีต่อร่างกาย เช่น ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ลดความอ้วน และป้องกันโรคมะเร็ง เป็นต้น เป็นแรงจูงใจทำให้กระแสการบริโภคชาเขียวเพิ่มขึ้น แต่อาจก่อให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม หรือบริโภคชาเขียวในปริมาณสูงเกินไปโดยไม่ทราบถึงผลกระทบต่อร่างกาย ผู้บริโภคจึงควรทราบถึงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับชาเขียวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

 

             ชาเขียว (Green tea) คือ ชาที่ได้มาจากต้นชา ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis ซึ่งชาชนิดนี้จะไม่ผ่านขั้นตอนการหมักเลย เตรียมได้โดยการนำใบชาสดมาผ่านความร้อนเพื่อทำให้ใบชาแห้งอย่างรวดเร็ว  ทำโดยกาเอาใบชาสดที่เก็บได้มาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อทองแดงโดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปนัก และใช้มือคลึงเบาๆก่อนแห้ง หรือจะใช้วิธีอบไอน้ำในระยะเวลาสั้นแล้วนำไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ก็ได้ การที่ไม่หมักก็เพื่อไม่ให้ใบชาทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (ออกซิเดชัน) ทำไห้ได้ใบชาที่ยังมีสีเขียวมีความสด มีกลิ่นและรสชาติใกล้เคียงใบชาธรรมชาติมาก จึงได้ใบชาที่แห้งแต่ยังสดอยู่ และมีสีที่ค่อนข้างเขียว จึงเรียกกันว่า ชาเขียวและการที่ใบชาที่ได้นั้นไม่ผ่านขั้นตอนการหมัก จึงทำให้ใบชามีสารประกอบฟีนอล (Phenolic compound) หลงเหลืออยู่มากกว่าในอู่หลงและชาดำ (สองชนิดนี้คือชาที่ผ่านการหมัก) จึงทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาทั้งสอง โดยชาเขียวจะมีสาร EGCG ประมาณ 35-50% ส่วนชาอู่หลงมีประมาณ 8-20% และชาดำจะมี EGCG อยู่เพียง 10%